วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

อุปกรณ์ของ Steve Vai

เง้อ!! สุดท้ายก็มาเรื่องดนตรีจนได้ ไหนๆก็เลยเถิดมาเยอะแล้ว ก็ขอเลยเถิดมาเรื่องอุปกรณืของ Steve Vai ละกันนะครับ จะขออธิบายเป็นทางเชิงทฤษฎีนิดนึงนะครับ ยังไงก็ลองอ่านดูละกัน
อ่ะดูตามลูกศรจะเห็นว่าจากสาย Jack สัญญานจะวิ่งเข้าตัว Effect Pedal ตัวแรกซึ่งเป็น Wah Wah ที่จะทำให้เกิดเสียงประมาณ ว๊าวๆ แล้วก็มาต่อที่ Pedal ตัวที่สอง(สีส้ม)ซึ่งเป็น Distortion หรือเสียงแตกซึ่งเป็นการเร่งระ-ดับสัญญานจนทำให้ไม่เสถียรแล้วเกิดเป็นเสียงที่แตกๆน่าฟังขึ้น แล้วตัวต่อไปคือ Foot Volume ซึ่งเอาไว้ควบคุมความดังเบาด้วยการทำหน้าที่เหมือน Gate ที่คอยควบคุมระดับสัญญานที่ไหลผ่าน แล้วต่อมาตัวสีแดงเป็น Whammy Pedal ที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวโน๊ตได้ดั่งที่เท้าเราต้องการจะทำ แล้วสัญญานก็จะวิ่งตรงเข้าตู้แอมป์ ซึ่งแอมป์นี้เป็ฯแอมป์ที่ถูกออกแบบให้เป็นรุ่น Signature ของ Steve Vai โดยเฉพาะจึงมีลักษณะรองรับกับอุปกรณืทั้งหมดของเขา แอมป์ตัวนี้มีย่านเสียงต่ำค่อนข้างมากเพราะกีตาร์ของ Steve เป็นกีตาร์ที่มีย่านเสียงต่ำน้อยมากๆ ถ้าเป็นกีตาร์ที่มีย่านเสียงต่ำสูงมากอยู่แล้ว เสียงที่ได้ก็จะกลับบวมจนไม่น่าฟังในทันที แล้วต่อจากนั้นก็จะมีการต่อ Loop สัญ-ญานเข้า Effect Racks ซึ่งในความจริงจะถูกแขวนไว้เป็นหิ้งๆ เพื่อที่จะทำให้สัญญานที่ออกมา ใสชัดเจนมากกว่าแล้วสัญญานก็จะส่งกลับเข้าแอมป์ เพื่อที่จะให้แอมป์ผสมสัญญานในขั้นสุดท้ายก่อนที่จะออกทางลำโพงของตู้แอมป์ แล้วแอมป์จะถูกจ่อไมค์เพื่อที่จะส่งต่อไปยังแผงควบคุมของลำโพงในงานเวทีใหญ่ๆต่อไป

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2551

เห็นคนที่เป็นภาพ Background ของผมมั้ยครับ


คนๆนี้มีชื่อว่า Steve Vai ครับ เป็นหนึ่งในมือกีตาร์ที่มีชื่อเสียงบนโลกที่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนเริ่มเล่นดนตรีผมก็ยังหาแนวทางหรือแบบอย่างที่แน่นอนไม่ได้ จนกระทั่งผมได้เห็นคลิปของเขาใน Youtube ผมรู้สึกชอบสิ่งที่เขาเล่นมาก สำเนียงกีตาร์ของเขาทำให้รู้สึกถึงหลายๆอย่างที่ปะปนกันได้อย่างลงตัว มีความเป็นตัวของตัวเองเวลาแสดง ผมจึงยกย่องเขาเป็น Hero ของผมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดังนั้นผมจะขอเล่าประวัติอย่างย่อๆให้อ่านกัน
Steve Vai เกิดเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 1960 และโตที่ Booklyn , New York เขาเริ่มที่จะหัดเล่นกีต้าร์เมื่ออายุ 14 ปี และเขาก็เริ่มศึกษางานของมือกีต้าร์ต่างๆมากมายในสายร็อก เช่น John lee hooker , Led Zepplin ,Jimi hendrix , Roy Buchanan และ Calos Santana เป็นต้น
Vai ได้ตัดสินใจที่เรียนนกีต้าร์ที่ Berklee และที่นั่นทำให้เขามาเรียนกีต้าร์กับ Joe Satriani และการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของ Vai ก็เกิดขึ้นเมื่อเขาได้มาพบกับ Frank Zappa และได้เล่นเป็นมือกีต้าร์คู่กับ Frank ในช่วงปี 1970 และต่อมา Vai ก็ได้มาเล่นเป็นมือกีต้าร์ในวง Alcatrazz แทน เจ้าชายลมกรดอย่าง Yngwie Malmsteem และมาเป็นมือกีต้าร์คู่ใจให้กับ Dave Lee Roth ในชุด Eat ' em and Smile และ ชุด Skyscraper ซึ่งในยุคนั้นมี Billy Sheehan ( M.R big ปัจจุบัน ) มาร่วมเล่นเบสด้วย
และในปี 1984 Vai ก็ได้ออก solo อัลบัมที่ชื่อว่า Flex - Able แต่ก่อนที่เขาจะทำอัลบัมชุดนี้ เขาก็ได้ไปเป็นมือกีต้าร์ให้กับวง White Snake ปี 1990 อัลบัมชุดที่ 2 ของเขา Sex & Religion ก็ได้ออกมา อัลบัมชุดนี้มันไม่ใช่เพลงที่มีสไตล์อย่าง heavy metal หรือ โซโล่กีต้าร์เพียงอย่างเดียว แต่มันเป็น Steve Vai ' music และปี 1993 Vai ก็ได้กำเนิดอัลบัมแห่งตำนานขึ้นมา นั้นคือ Passion & Warfare ในชุดนี้เขาได้ใช้เทคนิคการเล่นใหม่ๆมากมาย และปี 1995 เขาก็ออก E.P คือ Alien Love Secret ปี 1996 Fire Garden และ ปี 1999 อัลบัม The Ultra Zone จนทุกวันนี้มือกีต้าร์ทุกคนต่างยกย่องให้เขาเป็น พ่อมด ทาง เสียงดนตรี
จากที่ได้เขียนมาจะสังเกตได้ว่า เขาอยู่ในวงการมานานเป็นสิบๆปีแล้ว และผู้คนที่เล่นกีตาร์ก็ยังคงให้การยกย่องเขาเสมอมาอย่างไม่หยุดหย่อน แลจากบทความที่แล้วที่ผมได้เขียนว่า มีวงดนตรีในประเทศไทยมากมายที่ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นนั้น ก็ล้วนได้รับอิทธิพลจากชายผู้นี้ทั้งนั้น ถ้าอยากเห็นเขาเล่นก็ลองเปิดดูได้จากลิงค์ในหน้าหลักของบล็อกนะครับ

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2551

มาพูดเรื่องดนตรีrockกัน



ดนตรีปัจจุบันแบ่งออกเป็นหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น Rock,Funk,Blues,Jazz และอีกมากมาย และสำหรับดนตรี Rock นั้น มีการพัฒนามาจากดนตรี Blues มีความหนักแน่นอยู่พอสมควร ในสมัยแรกๆ ดนตรี Rock เป็นดนตรีที่ไม่ได้มีความหนักแน่นเท่าปัจจุบัน แต่เป็นดนตรีสนุกๆ ประเภทหนึ่ง ที่เรียกกันว่า Rock & Roll ต่อมาดนตรี Rock ก็พัฒนาความหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆจนกระทังปัจจุบัน มีผู้คนมองว่าเป็นดนตรีที่น่าหนวกหู แต่ดนตรี Rock ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น ยกตัวอย่าง เช่น วงPotato,Bodyslam,Clash เป็นต้น ในเวลานี้ วงเหล่านี้มีอิทธิพลเป็นอย่างมากกับ คนเล่นดนตรี ทำให้ดนตรี Rock ของประเทศไทย เป็นดนตรีที่มีความสมบูรณืค่อนข้างมาก

ชีวิตคนเรา


ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้น แต่ความอดกลั้นน้อยลง
เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง
เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง
เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น
เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น.....

เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้วแต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง
เรามีรายได้ สูงขึ้นแต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง
เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง
ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น
บ้านสวย ๆ กลายเป็นบ้านแตกสาแหรกขาด
ดังนั้น......จากนี้ไป......ขอให้พวกเรา อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ
เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ.......โอกาสที่พิเศษสุด......แล้ว
จงแสวงหา การหยั่งรู้
จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่โดยไม่ใส่ใจกับความ.....อยาก
จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น.......กินอาหารให้อร่อย
ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด
เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบจงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้
เอาคำพูดที่ว่า.......สักวันหนึ่ง........ออกไปเสียจากพจนานุกรม
บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน
อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น

ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย
เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง...
และเวลานี้.....ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีเวลาที่จะ copy ข้อความนี้ไปให้คนที่คุณรักอ่าน......แล้วคิดว่า....สักวันหนึ่ง.....ค่อยส่ง
จงอย่าลืมคิดว่า....สักวันหนึ่ง.....วันนั้น คุณอาจไม่มีโอกาสมานั่งตรงนี้เพื่อทำอย่างที่คุณต้องการอีกก็ได้

ดนตรีกับการฟัง


ดนตรีเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาพร้อม ๆ กับชีวิตมนุษย์โดยที่มนุษย์เองไม่รู้ตัว ดนตรีเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งที่ช่วยให้มนุษย์มีความสุข สนุกสนานรื่นเริง ช่วยผ่อนคลายความเครียดทั้งทางตรงและทางอ้อม
ดนตรีเป็นเครื่องกล่อมเกลาจิตใจของมนุษย์ให้มีความเบิกบานหรรษาให้เกิดความสงบและพักผ่อนกล่าวคือในการดำรงชีพของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายดนตรีมีความเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจสืบเนื่องมาจากความบันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ โดยตรงหรืออาจเกิดจากขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ เช่น เพลงกล่อมเด็ก เพลงประกอบในการทำงาน เพลงที่เกี่ยวข้องในงานพิธีการ เพลงสวดถึงพระผู้เป็นเจ้า เป็นต้น
ดนตรีเป็นศิลปะที่อาศัยเสียงเพื่อเป็นสื่อในการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ไปสู่ผู้ฟัง เป็นศิลปะที่ง่ายต่อการสัมผัส ก่อให้เกิดความสุข ความปลื้มปิติพึงพอใจให้แก่มนุษย์ได้ นอกจากนี้ได้มีนักปราชญ์ท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “ดนตรีเป็นภาษาสากลของมนุษยชาติเกิดขึ้นจากธรรมชาติและมนุษย์ได้นำมาดัดแปลงแก้ไขให้ประณีตงดงามไพเราะเมื่อฟังดนตรีแล้วทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ” นั้นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราได้ทราบว่ามนุษย์ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดภาษาใดก็สามารถรับรู้อรรถรสของดนตรีได้โดยใช้เสียงเป็นสื่อได้ เหมือนกันมีบุคคลจำนวนไม่น้อยที่ตั้งคำถามว่า “ดนตรีคืออะไร” แล้ว “ทำไมต้องมีดนตรี”
คำว่า “ดนตรี” ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายไว้ว่าเสียงที่ประกอบกันเป็นทำนองเพลง, เครื่องบรรเลงซึ่งมีเสียงดังทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน หรือเกิดอารมณ์รัก โศกหรือรื่นเริง” จากความหมายข้างต้นจึงทำให้เราได้ทราบคำตอบที่ว่าทำไมต้องมีดนตรี ก็เพราะว่าดนตรีช่วยทำให้มนุษย์เรารู้สึกเพลิดเพลินได้
คำว่า “ดนตรี” มีความหมายที่กว้างและหลากหลายมากนอกจากนี้ยังมีการนำดนตรีไปใช้ประกอบในกิจกรรมต่าง ๆ ที่เราคุ้นเคย เช่น การใช้ประกอบในภาพยนต์ เนื่องจากดนตรีนั้นสามารถนำไปเป็นพื้นฐานในการสร้างอารมณ์ลักษณะต่าง ๆ ของแต่ละฉากได้ พิธีกรรมทางศาสนาก็มีการนำดนตรีเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยจึงทำให้มีความขลัง ความน่าเชื่อถือ ความศรัทธา มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ดนตรีบางประเภทถูกนำไปใช้ในการเผยแพร่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกลุ่มคนหรือเชื้อชาติ บางครั้งมนุษย์เราใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการแยกประเภทของมนุษย์ออกเป็นกลุ่ม ๆ เช่น วัยรุ่นในเมืองก็จะชอบฟังเพลงที่มีจังหวะหรือทำนองสนุก ๆ ครื้นเครง ความรักหวานซึ้ง ส่วนวัยรุ่นที่อยู่ในชนบทก็มักจะชอบฟังประเภทเพลงเพื่อชีวิต เพลงลูกทุ่ง วัยหนุ่มสาวก็ชอบเพลงทำนองอ่อนหวานที่เกี่ยวกับความรัก สำหรับผู้ใหญ่ก็มักจะชอบฟังเพลงที่มีจังหวะหรือทำนองที่ฟังสบาย ๆ และชอบฟังเพลงที่คุ้นเคย มนุษย์เราใช้ดนตรีเป็นเครื่องกระตุ้นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การขับรถ การเรียน การวิ่งเหยาะ ๆ ออกกำลังกาย เป็นต้น ที่กล่าวมาข้างต้นการใช้ดนตรีเหล่านี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือใช้ดนตรีเป็นส่วนประกอบในการทำร่วมกับกิจกรรมนั้น ๆ ส่วนจุดมุ่งหมายอื่น ๆ เป็นเรื่องรองลงมา ก่อนที่จะมาเป็นดนตรีให้เราได้ยินได้ฟังกันจนกระทั่งปัจจุบันนี้มนุษย์ได้คิด ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาแล้วไม่น้อยกว่าพันปีดังนั้นดนตรีจึงถือได้เป็นสิ่งที่มีมาคู่กับมนุษย์เลยก็ว่าได้ สำหรับองค์ประกอบของดนตรีจะประกอบด้วยอะไรบ้างนั้นในบทนี้จะไม่กล่าวถึงมากแต่จะขอกล่าวถึงในบทต่อ ๆ ไป มีดนตรีชนิดหนึ่งซึ่งแตกต่างจากที่ได้กล่าวมาแล้วซึ่งต้องใช้สติปัญญา สมาธิ ความตั้งใจในการฟัง ดนตรีชนิดนี้เรียกว่า “ดนตรีคลาสสิก” (Classical Music) ส่วนใหญ่มนุษย์ฟังดนตรีประเภทนี้ ฟังเพราะความพอใจและความรู้สึกสนุกสนานในการฟังไม่มีเหตุผลหรือจุดมุ่งหมายใด มนุษย์จำนวนมากไม่เข้าใจว่าดนตรีสำคัญอย่างไร ดนตรีจะมีค่าได้อย่างไรในเมื่อเราไม่สามารถใช้มันเพื่อทำอะไรได้เลย โดยทั่วไปแล้วมนุษย์เราเข้าใจว่าของส่วนใหญ่สำคัญเพราะเราจำเป็นต้องใช้มัน แต่สำหรับดนตรีและงานศิลป์อื่น ๆ เช่น ภาพเขียน รูปปั้น ประติมากรรม บทกวี วรรณคดี ฯลฯ มีเพียงกลุ่มคนที่สนใจจริง ๆ เท่านั้นที่จะเข้าใจและซาบซึ้ง เพราะความสำคัญของมันเป็นไปในแง่จิตวิทยา (Psychological) ไม่ใช่ในแง่ของการปฏิบัติ (functional) เพราะเหตุใดมนุษย์เราจึงต้องสร้างสิ่งดังกล่าวขึ้นมาซึ่งสิ่งเหล่านั้นการประเมินค่านั้นจำเป็นต้องใช้สติปัญญาและความพอใจของคนคนนั้นจึงจะรู้คุณค่า นอกจากนี้ไม่มีใครรู้แน่นอนว่าความพอใจมีมาตรฐานของการวัดอย่างไร ถึงแม้ว่าจะมีทฤษฎีที่น่าสนใจมากมายสำหรับศึกษาเปรียบเทียบ อย่างไรก็ดีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนที่สุดคือ การแสดงออกเหล่านี้เป็นสิ่งที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์ เพราะสัตว์ไม่มีดนตรี ไม่มีความงามทางศิลป์ ฯลฯ นอกจากนี้แล้วมนุษย์ยังแตกต่างจากสัตว์ตรงคำว่า “การดำรงอยู่” (Exist) และ “การดำรงชีวิต” (live) มนุษย์เราไม่ต้องการเพียงแต่เพื่อดำรงชีวิตอยู่เท่านั้น แต่มนุษย์เรายังมีความต้องการสิ่งอื่น ๆ เช่น อยากรวยมากขึ้น อยากมีรถหรู ๆ ขับ อยากมีบ้านสวย ๆ อยู่ อยากมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น ในทางตรงกันข้ามสัตว์ไม่ได้มีความต้องการอยากจะได้เช่นเดียวกับมนุษย์